ชีวิตและงานของ
"ศุภจี สุธรรมพันธุ์"
Group CEO กลุ่มดุสิตธานี
(สรุปจากบทสัมภาษณ์ใน The Cloud และ workpoint today)
เรียบเรียงโดย หนุ่ม เมืองจันท์
"ศุภจี" จบปริญญาตรี จากคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่จะจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอร์ป ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในสาขาวิชาการเงินและการบัญชีระหว่างประเทศ
หลังเรียนจบ เธอไปทำงานกับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก IBM เริ่มจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
ก่อนจะขึ้นเป็น"กรรมการผู้จัดการ" ผู้หญิงคนแรกที่อายุน้อยที่สุด ในตอนอายุแค่ 38 ปีเท่านั้น
ในวงการไอที ที่ซีอีโอส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรของ"ศุภจี" ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากในยุคนั้น
ได้รับการเลือกจากประธานบริษัทให้ไปเป็นผู้ช่วยประธานบริหารที่สำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก เป็นคน ASEAN คนแรกที่ก้าวถึงระดับนี้
ก่อนจะกลับมาเป็นผู้จัดการทั่วไปของไอบีเอ็มอาเซียนฝ่ายบริการเทคโนโลยีทั่วโลกที่ประเทศสิงคโปร์ นำทีมงานกว่า 9,000 คนใน 10 ประเทศ
หลังจากอยู่ไอบีเอ็มมา 22 ปี บริษัทไทยคมก็ทาบทามให้เธอมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)
เพียงแค่ปีเดียว "ศุภจี" เปลี่ยนตัวเลขติดลบที่มีมาต่อเนื่องถึง5 ปีให้กลับมาทำกำไรและกำไรต่อเนื่องทุกปี
"ไทยคม" กลายเป็นบริษัทให้บริการดาวเทียมอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ส่วน"ศุภจี" ได้รับรางวัลผู้บริหารยอดเยี่ยม เอาชนะผู้บริหารจากประเทศชั้นนำทางธุรกิจดาวเทียมเช่น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ทั้งที่ๆ เป็นผู้บริหารหน้าใหม่ในอุตสาหกรรม
"ตอนอยู่ IBM เราคิดว่าเราเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่มีโอกาสไปทำงานกับองค์กรต่างชาติ ดังนั้นความต้องการของเราคือ อยากจะพัฒนาองค์กรของไทยให้ก้าวสู่นานาชาติบ้าง เราจึงย้ายมาร่วมงานกับไทยคม ซึ่งพออยู่กับไทยคม ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ซึ่งสุดท้ายไทยคมก็ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้จริงๆ แต่พอทำได้สักพักเราก็คิดว่า เรายังทำอะไรได้มากกว่านั้นอีก เราทำบริษัทหนึ่งไปให้คนต่างชาติได้รู้จักแล้ว ก็เลยลองมาคิดดู แล้วถ้าเราอยากเอา ‘ความเป็นไทย’ เอาประเทศทั้งประเทศ ไปให้คนทั่วโลกรู้จัก เราควรจะทำอะไรดี"
หลังจากทำงานที่ไทยคมได้ 4 ปีกว่าศุภจี ก็ตัดสินใจ ว่าได้เวลาแล้วที่เธอจะเดินหน้าต่อไปสู่แพชชั่นครั้งใหม่ของเธอเอง
เป็นเวลาเดียวกับที่" ชนินทธ์ โทณวณิก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ในวัย 59 ปี กำลังเผชิญหน้าความท้าทายใหม่
เขาต้องการหาผู้บริหารคนใหม่ที่มีความสามารถในการบริหารคน และมีประสบการณ์ดีลกับคนต่างชาติ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่
"ขนาดธุรกิจของดุสิต ถ้าจะโตขึ้นต้องใช้โครงสร้างการบริหารอีกแบบ ซึ่งผมแก่เกินไปที่จะปรับแล้ว" คุณชนินทธ์กล่าวกับ Workpoint today
คุณชนินทธ์ใช้เวลาทาบทามคุณศุภจีนานกว่า 6 เดือน ก่อนที่"ศุภจี" จะยอมรับตำแหน่ง"ซีอีโอ" ของเครือดุสิตธานี
คุณศุภจีรับตำแหน่งใหญ่ในดุสิตธานีเมื่อปี 2559 แม้เธอต้องบริหารธุรกิจที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เพราะตอนที่เข้าไปไทยคม เธอก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจดาวเทียมเช่นกัน
ปัญหาใหญ่เรื่องแรกที่ดุสิตธานี คือ การตัดสินใจทุบโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ทิ้ง เพื่อสร้างใหม่เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่ากว่า 46,000 ล้านที่มีชื่อว่า ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่ามากกว่าขนาดของบริษัทหลายเท่าตัว ด้วยโจทย์ใหญ่ที่ว่า ต้องไม่เพิ่มทุน ต้องไม่สร้างภาระหนี้เกินตัว ต้องหารายได้ใหม่มาทดแทนในขณะที่รายได้จากการปิดโรงแรมที่เป็นแหล่งรายได้หลักจะหายไป และที่สำคัญคือ ต้องรักษาและอนุรักษ์ความเป็นตำนานของโรงแรมดุสิตธานีเอาไว้การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่จะทำให้ชื่อ ดุสิตธานี ไม่ใช่เพียงแค่โรงแรม แต่จะเป็นชื่อที่มีความหมายและศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ประเทศไทย ตามเจตนารมย์ของ ท่านผู้ก่อตั้งและทายาทด้วย ซึ่งที่ผ่านมา แม้ต้องปิดโรงแรมแต่เธอก็สามารถเก็บงาน รักษาคน และยังทำกำไรให้บริษัทได้ต่ออย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่เจอมรสุมลูกใหญ่"โควิด"
ธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะโรงแรมได้รับผลกระทบสูงมาก
แม้"ดุสิตธานี" ต้องรักษา"ลมหายใจ" เอาไว้เหมือนกับโรงแรมอื่น แต่"ศุภจี" พยายามรักษาพนักงานเอาไว้เพื่อรอฟ้าหลังฝน
หลักคิดประจำใจของ"ศุภจี" คือ Hope for the best, but prepare for the worst
พยายามเตรียมตัวสำหรับสิ่งเลวร้ายที่สุด ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ให้มีความหวังไว้เสมอ ว่าหลังจากที่ผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งดีๆ มันจะตามมา เพราะเชื่อมั่นว่า ถ้าอดทนมากพอ ผลลัพท์ที่ได้ย่อมดีเสมอ เหมือนคำที่เธอสอนลูกเสมอว่า
“แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร”
ตอนที่ The Cloud สัมภาษณ์คุณศุภจี
คำนำก่อนบทสัมภาษณ์บอกว่านอกเหนือจากชีวิตการทำงาน The Cloud ยังสนใจความเป็นผู้หญิงที่ทำงานเป็นผู้บริหารสูงสุดในบริษัทเทคโนโลยีที่เรารู้ดีว่าพื้นที่ส่วนใหญ่สงวนไว้ให้ผู้ชาย
แต่คำตอบของคุณศุภจีก็ทำให้เราพับคำถามประเภทเรียกร้องความเท่าเทียมของลูกผู้หญิงในที่ทำงานที่เตรียมมาเก็บทิ้งเสียทั้งหมด
เพราะเธอบอกว่าการทำงานกับเรื่องเพศไม่เกี่ยวกัน และเธอก็พิสูจน์ให้เราเห็นผ่านเส้นทางการทำงานที่สนุกจนไม่อยากให้ถึงตอนจบของการสนทนา
ปิดท้ายด้วยคำถามตอบสั้นๆ ที่ทำให้รู้ว่าคุณศุภจีเป็นแชมเปี้ยนเกม Candy Crush เลเวลหลักหมื่น
และเป็นแฟนพันธุ์แท้ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน แบบที่เปิดให้เห็นเพียงฉากเดียวก็รู้ว่ามาจากตอนไหนและใครเป็นฆาตกร
นี่คือ มุมที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน